วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บทวิเคราะห์ผลงาน Bicycle Wheel ของ Marcel Duchamp
Bicycle Wheel เป็นงานศิลปกรรมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุสำเร็จรูป¹ (Ready-made)
ซึ่งเป็นการนำวัสดุที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันมาปรับแต่ง เพิ่มเติม
ให้เกิดมุมมองใหม่ทางความคิด โดยมุ่งเน้นความสำเร็จรูปอย่างชัดเจน Bicycle Wheel เป็นผลงานศิลปกรรมที่ประกอบขึ้นจากวัสดุ
2 ประเภท คือ
ล้อรถจักรยานที่เป็นโลหะและเก้าอี้ไม้ Duchamp เลือกวัสดุที่มีสีแตกต่างกัน
แต่มีความสอดคล้องกันทางรูปทรง เพื่อสร้าง
จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ของ Marcel Duchamp เกิดจากความคิดที่ต่อต้านการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบดั้งเดิม ซึ่งรูปแบบงานศิลปะ Cubism สร้างแรงพลักดันให้เกิดผลงานจนได้รับการย่งย่อง แต่ Duchamp ต้อการแสวงหาแนวทางการทำงานศิลปะที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเอง อีกทั้งยังมีความสนใจในปรัชญาของ Descartes Rene "Cogito Ergo Sum" : ฉันคิด ฉันจึงเป็นตัวฉัน จึงมี
ความพยายามนำความคิดในเชิงปรัชญาดังกล่าว
มาสร้างสรรค์งานศิลปะของตนเอง ผสมผสาน
กับการเยาะเย้ยถากถางงานศิลปกรรมก่อนหน้า โดยเริ่มต้นจาก
การทดลองนำโถปัสสวะมาจัดวาง ในมุมมองที่แตกต่างและเซ็นต์ชื่อลงบนผลงานของตนเองตามค่านิยมของการทำงานศิลปะแบบดั้งเดิม
จึงเกิดเป็นผลงานชื่อ “Fountain” ในปี
ค.ศ.1917 ซึ่ง Duchampได้อธิบายถึงแนวความคิด “คุณค่าของสิ่งต่างๆ
เกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง” โดยมองว่าวัตถุ
วัสดุหรือสิ่งต่างๆที่พบเห็นล้วนแล้วแต่มีคุณค่าจากความคิดที่สำเร็จรูปจากการผลิตของมนุษย์
เพียงแต่การพบเห็นเป็นปกติไม่สามารถนำไปสู่การเห็นคุณค่าที่แท้จริงได้
หากมีการปรับแต่งหรือเปลี่ยนแปลงให้ผิดแปลกไปจากเดิมวัสดุที่พบเห็นก็สามารถเป็นงานศิลปะชิ้นเยี่ยมได้
Marcel Duchamp พัฒนาการทำงานศิลปะของตนเองจาก Cubism เป็นศิลปะรูปแบบ Futurism กลุ่มศิลปิน Dada จึงยกย่องให้
เป็นผู้นำกลุ่ม Duchamp เป็นศิลปินคนแรกที่นำวัสดุสำเร็จรูปมาใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม
เป็นผู้นำกลุ่ม Duchamp เป็นศิลปินคนแรกที่นำวัสดุสำเร็จรูปมาใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม
อย่างชัดเจนและจริงจัง แสดงให้เห็นถึงลักษณะงานศิลปะสื่อผสม²
อย่างชัดเจนหลังจากความพยายามนำวัสดุมาใช้ในการสร้างสรรค์ของ Picasso และ Georger Braque
Bicycle Wheel สร้างสรรค์จากความคิดทางปรัชญาที่ตอบสนองความต้องการสะท้อน
ความเป็นไปทางสังคมในเรื่อง
ค่านิยมเกี่ยวกับศิลปะและสุนทรียศาสตร์
โดยพยายามแสดงออกในเรื่องแง่มุมทางความคิดที่มีความสำคัญกว่าภาพลักษณ์ภายนอกของงานศิลปะ
หรือที่มาของวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์
ด้วยวิธีการสร้างความแปลกใหม่
ให้ผู้ที่พบเห็นได้เกิดความรู้สึกโต้ตอบกับงานศิลปะโดยตรง
ซึ่งตรงกับประเด็นในทฤษฎีความคิดของ Alexander Gerard “ความรู้สึกเกี่ยวกับการโต้ตอบ” (reflex sense)
“การโต้ตอบ” (สะท้อนกลับ)
ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับผัสสะเหล่านั้น
ซึ่งทำหน้าที่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ (reactive function)
เป็นบางสิ่งบางอย่างของเครื่องหมายสูงสุดในทฤษฎีเกี่ยวกับ
“ความรู้สึกพิเศษ” (special sense)
ซึ่งมีการจำแนกความแตกต่างออกเป็น 7 ชนิดคือ
1. ความรู้สึกเกี่ยวกับความแปลกใหม่ ( the sense of novelty )
2. ความรู้สึกเกี่ยวกับความสูงส่ง (
the
sense of sublimity )
3. ความรู้สึกเกี่ยวกับความงาม (
the
sense of beauty
)
4. ความรู้สึกเกี่ยวกับการเลียนแบบ ( the sense of imitation
)
5. ความรู้สึกเกี่ยวกับความกลมกลืน ( the sense of harmony )
6. ความรู้สึกเกี่ยวกับความแปลกใหม่ ( the sense of novelty )
7. ความรู้สึกเกี่ยวกับคุณความดี ( the sense of virtue )
Bicycle Wheel แสดงออกถึงความรู้สึกแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์
กระตุ้นให้สนมาสนใจและคิดถึงเหตุผล ซึ่งอาจนำไปสู่ความนึกคิดหรือองค์ความรู้ใหม่
เกิดการพัฒนาทางความคิดและสุนทรียศาสตร์
นำพาไปสู่ความคิดที่ตอบสนองความต้องการของศิลปิน ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่แปลกใหม่และทรงคุณค่าทางความคิด
อีกทั้งยังแสดงออกถึงความรู้สึกเยาะเย้ยถากถางงานศิลปะยุคก่อนหน้าในรูปแบบดั้งเดิม
เพื่อลบล้างความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างสรรค์งานศิลปะตามแบบประเพณี
Bicycle Wheel เป็นงานศิลปกรรมที่กระตุ้นกระแสทางความคิดที่เกิดการพัฒนา
และส่งผลชี้นำกระแสการสร้างสรรค์ศิลปะ เพื่อตอบสนองเรื่องราวทางความคิด
โดยให้อิทธิพลต่อแนวทางศิลปะ
Pre-Pop
และ
Concepture art³ ที่มุ่งเน้นการใข้ความคิดหรือปรัชญาในเชิง
“พุทธิปัญญา” (intellectual)
Marcel Duchamp จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของศิลปะ
Post-Modern
อย่างไรก็ตาม Bicycle Wheel เป็นส่วนหนึ่งในกระแสของการสร้างสรรค์งานศิลปะ
Post-Modern ที่แรงพลักดันเกี่ยวกับความคิด
หรือปรัชญาที่ตอบสนองความต้องการของสังคม โดย
ต่อมาได้มีการพัฒนาไปสู่การทำงานศิลปะที่เน้นความคิดมากขึ้น
แสดงออกถึงภาพลักษณ์ที่เป็นปัจจุบัน เป็นความสำเร็จรูป
แต่แอบแฝงไปด้วยปรัชญาทางความคิด
------------------------
¹ “วัสดุสำเร็จรูป” ในภาษาอังกฤษ Ready-made พจนานุกรมศิลปะได้บัญญัติเป็นภาษาไทยว่า “วัสดุเก็บตก” เป็นวัตถุที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์
² “สื่อผสม” ภาษาอังกฤษ Mix Media เป็นเทคนิคการทำงานศิลปะที่ใช้สื่อ หรือวัสดุมากกว่า 2 ประเภท
³ “Concepture art” พจนานุกรม
อังกฤษ-ไทย แปลความว่า “มโนทัศนศิลป์”
เป็นการทำงานศิลปะที่เน้นความคิดมากว่าตัววัตถุ โดยมีวิธีการแบบ “สัญวิทยา” นิยมในตะวันตกในช่วง
ค.ศ. 1960 –
1970
ใช้อธิบายงานศิลปะที่ไม่ใช้จิตรกรรมและประติมากรรม
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บทวิจารณ์ผลงานศิลปกรรมของ อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ
“ For 49 Days
Exhibition” : Mind Journey Beyond Death
(ศิลปะสัจธรรมว่าด้วยเรื่องความตายและการเกิดใหม่ภายใน 49 วัน)
(ศิลปะสัจธรรมว่าด้วยเรื่องความตายและการเกิดใหม่ภายใน 49 วัน)
การมองเห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น การรับรส รวมทั้งการสัมผัสทางกายภาพ เป็นเครื่องมือหนึ่ง
ในการนำเสนอผลงานศิลปะ ในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เราเรียกว่า “ศิลปะหลังสมัยใหม่”(1) (Post Modern) ซึ่งศิลปินนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ภายใต้ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา
ไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าทางสังคม ที่หันมาให้ความสำคัญกับความคิด
มากกว่ารูปแบบ และวิธีการทำงานศิลปะตามแบบขนบดั่งเดิม ศตวรรษที่ 20 มีการนำความคิดเกี่ยวกับสถานะภาพของผู้ชมผลงานศิลปะว่า ไม่ควรอยู่ในเชิง
“อกัมมันต์”(2) (passive)
อย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรมีส่วนร่วมกับผลงานศิลปะทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยนำเสนอนิยามสุนทรียภาพจากการสัมผัสไว้ดังนี้
1. สุนทรียภาพ คือ
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสัมผัสกับสิ่งที่สร้างสรรค์ด้วยปัญญา
2. สุนทรียภาพ คือ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสัมผัสกับการแสดงออกทางจิตปัญญา
3. สุนทรียภาพ คือ
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสัมผัสกับสัจจะ ซึ่งมีในรูปแบบต่างๆ
4. สุนทรียภาพ คือ
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสัมผัสความหมายของสัญญาณ สัญลักษณ์
รหัส เครื่องหมาย หรือรูปเคารพ
รหัส เครื่องหมาย หรือรูปเคารพ

การรวมตัวกัน ของศาสตร์สาขาต่างๆ
ที่ถูกหยิบยก นำมาใช้เป็นสื่อในการแสดงออกเนื้อหาสาระทางความคิด
เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่กำลังถูกจับตามอง ถึงกระบวนการ รูปแบบและวิธีการ
ซึ่งมีการพัฒนาสืบทอดต่อเนื่องมากจาก รากฐานทางวัฒนธรรมของชนชาติ จึงมีความน่าสนใจที่ศิลปินจะนำมาผสมผสานกับวิธีการ
และกระบวนการทางความคิดในเชิงทัศนศิลป์ ซึ่งในปัจจุบันศิลปะการแสดง
“บุดโต”(Butoh Dance) พัฒนาการจากศาสตร์เก่าแก่ของอารยธรรมญี่ปุ่น สู่ศิลปะการแสดงร่วมสมัย กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจากศิลปินและบุคคลโดยทั่วไป

“บุดโต”(Butoh Dance) พัฒนาการจากศาสตร์เก่าแก่ของอารยธรรมญี่ปุ่น สู่ศิลปะการแสดงร่วมสมัย กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งจากศิลปินและบุคคลโดยทั่วไป

“บุดโต” (Butoh Dance)
ศิลปะการแสดงจากรากฐานทางวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่มีพัฒนาการมาจากการร่ายรำแบบญี่ปุ่นที่มี
ท่วงท่า ลีลาประกอบกับการร่ายเวทมนต์ หรือประกอบการสวดบูชา
เพื่อขอให้วิญญาณไปสู่สุขคติ ซึ่งมีการเคลื่อนไหว 3 ลักษณะ
คือ การหมุนตัว การเต้น และการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน
รวมทั้งการเคลื่อนไหวที่แสดงมารยาททางสังคม “บุดโต”
จึงเป็นศาสตร์การแสดงที่สามารถแสดงอามรณ์ความรู้สึกได้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะเรื่องราวทางจิตรวิญญาณ
ในปัจจุบันมีการเรียนการสอนศาสตร์ศิลปะการแสดง“บุดโต”
กันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวญี่ปุ่น
ที่แสดงออกถึงความเป็นชาตินิยม
ที่สามารถเก็บรักษารากฐานทางวัฒนธรรมได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่ง “บุดโต”
ถูกพัฒนาให้มีความร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้ฉากประกอบการแสดงที่เป็นสากล
การนำดนตรีที่มีความทันสมัยเข้ามาใช้ รวมทั้งการพัฒนาวิธีการแสดงออกให้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมได้อย่างชัดเจน
จากพัฒนาการ
การทำงานศิลปะที่มีอย่างต่อเนื่อง“บุดโต” (Butoh Dance)
จึงกลายเป็นผลงานศิลปะที่มีความน่าสนใจ ซึ่งการทำงานศิลปะโดยใช้ภาษากายในการสื่อสาร
ก็สร้างแรงบัลดาลใจให้กับศิลปินจำนวนไม่น้อย

สิ่งปลูกสร้างบนความเจริญทางด้านวัตถุของสังคม แสดงออกด้วยวิธีการทางจิตรกรรม ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากภาพถ่ายศิลปะ



การทำงานเริ่มต้นด้วย
การทำความเข้าใจกับความหมายของ “มรณานุสสติ”(4) นิยามหนึ่งที่เกี่ยวกับความตายภายใต้คำสอนของพระพุทธศาสนามหายาน
ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความตาย ที่นำมาเป็นอารมณ์ เรียนรู้ความตาย
ก่อนการจากไปอย่างสมบูรณ์ โดยแยกส่วนประกอบของผลงานออกเป็น 2 ส่วนคือ การแสดงบุดโต
และสื่อมัลติมีเดี่ย (Multimedia) ใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในการสร้างความสัมพันธ์ทางกายภาพ
ให้ผู้ชมสัมผัสกับภาพ แสง สี เสียง ที่เป็นปัจจุบัน
สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามสถานเริงรมย์ เพื่อตอบสนองการสื่อเนื้อหาทางสังคมที่มีความต้องการสูง
เป็นกิเลสที่ผู้คนใฝ่หา
การแสดง ”บุดโต” (Butoh Dance) ยังคงใช้พื้นฐานการแสดงตามแบบฉบับที่มีการพัฒนา รูปแบบร่วมสมัย สภาวะที่เงียบงันภายในห้องจัดแสดง เริ่มต้นด้วยเสียงหวีดร้องจากกลุ่มนักแสดงที่วิ่งกรูกันออกมาจากด้านหลังของ
ผู้ชม ไปยังตรงกลางเวทีด้านหน้า ท่าทางการร่ายรำที่ไม่ใช้ท่าทางของมนุษย์ ประกอบกับแสงสีอันจัดจ้าน จากฉากหลังที่สะท้อนความหมายจากท่าทางการเต้น และเสียงเพลงหลอนๆ คล้ายแนวเพลง Death Metal สลับกับเสียงเพลงที่ทำให้รู้สึกปลดปล่อย สร้างความสับสนให้กับผู้ชม แต่เมื่อดูไประยะหนึ่งจะถูกดึงเข้าไปถึงเนื้อหาของผลงานศิลปะชิ้นนี้อย่างไม่รู้ตัว
การแสดง ”บุดโต” (Butoh Dance) ยังคงใช้พื้นฐานการแสดงตามแบบฉบับที่มีการพัฒนา รูปแบบร่วมสมัย สภาวะที่เงียบงันภายในห้องจัดแสดง เริ่มต้นด้วยเสียงหวีดร้องจากกลุ่มนักแสดงที่วิ่งกรูกันออกมาจากด้านหลังของ
ผู้ชม ไปยังตรงกลางเวทีด้านหน้า ท่าทางการร่ายรำที่ไม่ใช้ท่าทางของมนุษย์ ประกอบกับแสงสีอันจัดจ้าน จากฉากหลังที่สะท้อนความหมายจากท่าทางการเต้น และเสียงเพลงหลอนๆ คล้ายแนวเพลง Death Metal สลับกับเสียงเพลงที่ทำให้รู้สึกปลดปล่อย สร้างความสับสนให้กับผู้ชม แต่เมื่อดูไประยะหนึ่งจะถูกดึงเข้าไปถึงเนื้อหาของผลงานศิลปะชิ้นนี้อย่างไม่รู้ตัว
ลักษณะการทำงานใช้มุมมองทางความคิด
จากการรับรู้สิ่งเร้าทางสังคมที่ผู้คนมักคล้อยตาม ด้วยการยั่วยุของความอยาก
กิเลสที่ยากจะหลุดพ้น
ถ่ายทอดผ่านองค์ประกอบทางกายภาพที่รับรู้พื้นฐานได้ด้วยการมองเห็น
ส่วนประกอบในแต่ละส่วนมีการคิดค้นให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและพื้นที่การแสดง
โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของศาสตร์ทางศิลปะทั้ง 2 สิ่ง
ให้สามรถร่วมกันทำหน้าที่สื่อ เนื้อหาสาระเกี่ยวกับ “มรณานุสสติ” ให้ชัดเจนที่สุด

หากนำผลงานมาเปรียบเทียบกัน
จะพบว่ามีความแตกต่าง กันในเนื้อหาและ ผลกายภาพแต่มีรูปแบบและวิธีการที่คล้ายกัน
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ อาจได้รับอิทธิพลจากการทำงานลักษณะดังกล่าว
เพราะบิว วิโอล่า (Bill Viola) เป็นศิลปินคนแรกๆ ที่มีการคิดค้น
การ ทำงานลักษณะวิธีการแบบเดียวกันนี้
เพราะบิว วิโอล่า (Bill Viola) เป็นศิลปินคนแรกๆ ที่มีการคิดค้น
การ ทำงานลักษณะวิธีการแบบเดียวกันนี้
วิธีการทำงานของอำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ ไม่ได้แค่เพียงต้องการนำเสอนผลทางกายภาพที่สวยงามเท่านั้น
แต่ยังคงแอบแฝงนัยยะในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งเว้นช่องว่างให้กับผู้ชมได้จินตนาการ
คิดทบทวนและตีความผ่าน ทัศนธาตุต่างๆที่มองเห็น
แต่สิ่งที่สามารถสื่อถึงผู้ชมได้มากที่สุดคือ การแสดงอารมณ์ความรู้สึก
ที่อาจนำพาผู้ชมเข้าถึงเนื้อหาสาระแท้จริงของผลงาน
โดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆนอกจากภาพที่ปรากฏ และท่าทางที่ร่ายรำประกอบเข้าด้วยกัน
จากการศึกษากระบวนการทางความคิดของผลงานยังสามารถเรียนรู้ถึง
วิธีการทำงานที่เป็นระบบและมีการจัดการที่ดี
ต่อการทดลองการทำงานศิลปะในรูปแบบใหม่ ที่ควรนำไปใช้เป็นตัวอย่างของการศึกษาระบบ
กระบวนการทางความคิดและวิธีการทำงาน ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจน
จากผลงานที่ปรากฎผลสำเร็จทางความคิด ทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม
สิ่งที่ผู้ชมผลงานทุกคนจะได้รับคล้ายกันคือ
คำถามที่ตั้งเป็นข้อสงสัยว่าทำไม ถึงต้องแสดงออกในลักษณะนี้ หรืออาจได้รับความคิดที่เกิดจินตนาการสู่การรับรู้ที่แปลกใหม่
และทำให้เข้าใจสิ่งที่ผลงานต้องการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้สิ่งใด
หรือไม่ก็ตาม คงไม่สำคัญไปกว่าความคิดที่ศิลปินและนักแสดงพยายามสร้างสรรค์
เพื่อจุดหมายที่ต้องการให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต อยู่บนความไม่ประมาณ
เรียนรู้อนาคตอันใกล้ ที่เราทุกคนหนีไม้พ้น “ความตาย” แต่จะตายอย่างไรให้สมบูรณ์ คงเป็นอีกประเด็นที่ศิลปินเว้นช่องว้างเอาไว้ให้ผู้ชมได้ใช้ความรู้สึก
จากภายในจิตใจไปคิดทบทวนหาคำตอบด้วยตัวเอง
อย่างไรก็
ตามนี่อาจเป็นการทดลองหนึ่งของอำมฤทธิ์
ชูสุวรรณ แต่ก็สามารถสร้างกระแส การทำงานศิลปะที่ ก้าวล้ำไปกว่าการทำงานร่วมสมัยในรูปแบบอื่น
ซึ่งการทดลองอาจมีข้อผิดพลาดบางประการ ด้วยการทำงานที่ไม่คุ้ยเคย สิ่งหนึ่งที่อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ
ได้พยายามแสดงออกที่สามารถรับรู้ได้ก็คือ การทำงานศิลปะ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบ
ขอเพียงมีความเข้าใจในความคิดและรู้จัก จัดการกับสิ่งต่างๆ
ที่เป็นตัวแปรหรือข้อกำหนดด้วยปัจจัยใดก็ตาม จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ออกมาได้อย่างมีคุณค่า
ไม่ด้อยไปกว่าการทำงานศิลปะในรูปแบบประเพณี
(1) ศิลปะหลังสมัยใหม่
(Post Modern) ภาพลักษณ์ใหม่ทางศิลปะ
โดยมีแนวคิดที่เห็นความงามทางความคิดสำคัญกว่า
การสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม วัสดุรูปแบบ เทคนิค วิธีการ
กระบวนการสร้างสรรค์มักแอบแฝงไปด้วยความคิด มีนัยยะทางปรัชญา
(2) อกัมมันต์
(passive)
หมายถึง ปฏิกิริยาอาการที่ไม่มีการโต้ตอบ
(3) ศิลปะสื่อผสม (Mix Medai)
การทำงานศิลปะที่มีการผสมผสานสื่อทางศิลปะที่มีลักษณะแตกต่างกัน
เช่นการผสมกันระหว่างงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ เสียง
กลิ่น หรือการสัมผัสทางกาย
(4) มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์และมนุษย์
จากคำสอนพระพรหมยาน
บรรณานุกรม
หนังสือ
มาร์ค ไทรบ์. นิวมีเดียอาร์ต(New Media Art).กรุงเทพ : บริษัท เดอะเกรทไฟน์อาร์ท จำกัด,2553
- สุธี คุณาวิชยานนท์.จากสยามเก่าสู่ไทยใหม่.กรุงเทพ:บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิซซิ่ง จำกัด (มหาชน), 2545
- ศิลป์ ภาคสุวรรณ.รู้จักญี่ปุ่น.กรุงเทพ: ศูนย์หนังสือกรุงเทพ,2531
เว็บไชต์
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555
"รอยยิ้ม...เปื้อนน้ำตา"
“ชีวิตทุกชีวิตบนโลกนี้
มีคุณค่า เกินกว่าเราจะเข้าใจ”
การได้พบปะพูดคุยกับเด็กๆ
ที่ประสบเหตุความรุนแรงอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทำให้เกิดความรู้สึกและข้อคิดดีๆ หลายอย่างทีเดียว พวกเขาเหล่านั้น เหมือนถูกสาป
ให้ถูกหล่อหลอมจากจิตใจที่มีรากฐานจากความรุนแรงอย่างไม่ได้ตั้งใจ....
เสียงปืน เสียงระเบิด
ดูจะเป็นความธรรมดาสำหรับพวกเขา เด็กๆ หลายคน เล่าเรื่องราวของครอบครัวให้ฟังด้วยความสนุกสนานแต่เรื่องราวเหล่านั้น
คือสภาวะความรุนแรง การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน จบท้ายด้วยคำว่า “กลัว!!!” จากปากของเด็กๆ

หากเราลองย้อนกลับมาหาตัวเราเอง
เราอาจจะพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราภาคภูมิใจ
เรามีวิถีที่อาจแตกต่างจากคนอื่นแต่เราสามารถอยู่ในสังคมนี้ได้ อาจไม่สะดวกสบายนัก
แต่มันก็ทำให้ชีวิตมีรสชาติ เรื่องเล็กๆ
ของคนอื่นอาจเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทำให้ชีวิตเรามีพลัง ก้าวเดินต่อไป อาจท้อแท้บ้าง
แต่.......ไม่ถ้อถอย
ขอให้ “รอยยิ้ม”
เป็นดั่งพลัง...ให้ต่อสู่กับอุปสรรค รอยยิ้มของคนอื่นๆเป็นดั่งกำลังใจที่ส่งให้เรา
ทุกครั้งที่เราเหนื่อย เราท้อแท้ ขอให้เรายิ้มกับตัวเอง บอกตัวเองว่าฉันต้องทำได้
เพราะในชีวิตของเราทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะมีแต่ความทุกข์ หรือมีแต่ความสุข
หากเป็นเช่นนั้น คงหน้าเบื่อ ชีวิตคงขาดรสชาติ
“รอยยิ้ม”
ที่เต็มไปด้วยกำลังใจและความศรัทธาของตัวเรา ก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้
เริ่มต้นจากการยิ้มให้กับตัวเราและครอบครัว “ยิ้ม” เพื่อให้รู้ว่า “เรายังคงรักและเป็นห่วงเขาเสมอ”
“ยิ้ม” เพื่อให้รู้ว่า “เราสบายดีไม่ต้องห่วงนะ” ยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจ ยิ้มให้โลกนี้สดใส เพราะรอยยิ้มคือ
ประตูไปสู่ความสุข กำลังใจ ความรักและความห่วงใย
“รอยยิ้ม”
ที่อาจเปื้อนน้ำตา ก็คงเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนสติ กระตุ้นให้เรารู้สึกตัว ให้เราย้อนกลับไปมองตัวเองให้มากขึ้น....
หลายคนอาจมีประสบการณ์ร้ายๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย อาจเกินจะรับไหว แต่ด้วยรอยยิ้มและกำลังใจก็ทำให้เราสามารถสู้ต่อไปได้
เพราะอย่างน้อยความรู้สึกร้ายๆเหล่านั้น มันมักจะทำให้เรารู้สึกตัว มีสติ
และยังรู้ว่าเรา...ยังมีชีวิตอยู่มีลมหายใจ และมีความรู้สึก
“รอยยิ้ม”
เปื้อนน้ำตา คงเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เราทุกคนอาจจะได้พบหรือไม่ก็ตาม
แต่มันคงไม่มีความหมายหากเราไม่ได้กลับมาคิดทบทวน ทำความเข้าใจกับมัน เพราะ “รอยยิ้มที่เปื้อนน้ำตา” ไม่ได้เกิดขึ้นจากความทุกข์ทั้งนั้น
อาจมาจากความสุข ความปิติที่เอ่อล้นไปทั่วหัวใจของเรา
และแปลงความสุขนั้นเป็นน้ำตาไหลออกมา
เพราะหลังจากการร้องไห้ไม่ว่าด้วยความสุขหรือความทุกข์ก็ตาม เรามักจะรู้สึกดีขึ้น
รู้สึกโล่งใจ ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้น เคยมีคำกล่าวที่บอกว่า “บางครั้งน้ำตาก็ช่วยทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดีขึ้น”
“รอยยิ้ม”
เปื้อนน้ำตา จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราทุกคนมีกันได้ ไม่ว่าจะเป็นชายอกสามศอกหรือหญิงแกร่ง
อย่าอายหากต้องร้องไห้........เพราะเราคงไม่เสียหายอะไรมากนัก
หากมีคนอื่นเห็นว่าเรากำลังร้องไห้ความหมายของการร้องไห้ ไม่ได้หมายถึงความทุกข์เพียงอย่างเดียว
ถึงแม้การร้องไห้อาจไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา
แต่มันเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้เรามีสติและได้หวนกลับมาคิด
ตั้งหลักต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆนานา ที่กำลังถาโถมเข้ามาในชีวิต มองวิกฤติให้เป็นโอกาส
เริ่มต้นจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆ เท่าที่เราทำได้ เพราะสุดท้ายเรื่องเล็กน้อย
หลายเรื่องรวมกันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
เราไม่อาจแก้ไขปัญหา หรือเรื่องร้ายๆได้ ในชั่วพริบตา แต่เราสามารถแก้ไขมันได้
หากเรามีความพยายามและศรัทธา.... “รอยยิ้ม”เปื้อนน้ำตา
คงเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ เพื่อบางสิ่งที่เรารัก บางสิ่งที่ศรัทธา
และเพื่อคนที่รักเรา เพราะไม่สามารถลิขิตหนทางของชีวิตเองได้ทั้งหมด แต่ขอให้พยายามต้อนรับสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วย
“รอยยิ้ม” ถึงแม้จะเป็น “รอยยิ้มที่เปื้อนน้ำตา”.....
เลยลม....
"ละคร หลังข่าว"
ดาวพระศุกร์...ตะวันยอแสง...คมแฝกหรือบ้านทรายทอง
คงเป็นชื่อคุ้นหูใครหลายคน สำหรับคอละครโทรทัศน์ละข่าวภาคค่ำ ซึ่งมีเนื้อหา
เรื่องราวที่ดูจะเป็นไปได้ยาก ที่เราเรียกกันติดปากว่า “ละครน้ำเน่า” แต่เรายังคงชื่นชมและติดตามกันมาในทุกยุคทุกสมัย แรกเริ่มเดิมทีประเทศเรายังไม่มีละครโทรทัศน์ที่เป็นรูปแบบชัดเจน
ส่วนใหญ่เป็นละครเพลง โดยเริ่มต้นจาก“ช่องสี่บางขุนพรหม” สถานีโทรทัศน์เก่าแก่ของประเทศไทย ละครมีการสร้างบทละคร
สร้างบทเพลงในการแสดงละครแต่ละครั้ง...ซึ่งดูจะเป็นการสร้างสรรค์อย่างน่าสนใจ
ชวนให้ติดตาม
ละครโทรทัศน์มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความรวดเร็วตามกระแสทางเทคโนโลยี วิธีการนำเสนอดูมีชั้นเชิงและแนบเนียนมากขึ้น
แต่เรื่องราวยังคงความเป็นอมตะอยู่เสมอ
ละครไทยมักมีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัว
การแก้แค้นระหว่างตระกูล
การพลัดพรากจากครอบครัวอันมั่งคั่ง และความบังเอิญจนไม่น่าเชื่อ
แต่เราก็ยังคงเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
ละครไทยมักมีองค์ประกอบของการแสดงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือ..... นักแสดง
ผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตามบทบาทของบทละคร พอจะสรุปคร่าวๆได้
“ นางเอก” ต้องเป็นคน
สวยใส บริสุทธิ์ ร้องไห้เก่ง น้ำใจงาม
ยอมคน ตอนเด็กอาจลำบากเมื่อโตขึ้นกลายเป็นลูกมหาเศรษฐี เกลียดพระเอกแต่รักกันตอนจบ
รักความถูกต้อง ค้นหาความจริง กตัญญูเป็นยอดคน ในบางครั้งอาจถูกกักขังจากพระเอก
ถูกปองร้ายจากตัวโกงในละครบางเรื่องนางเอกต้องปลอมตัวให้ไม่สวย
แต่ก็สวยอยู่ดี........ เอาเป็นว่าสิ่งที่สำคัญ ที่นางเอกทุกคนต้องมีคือ “ความสวย” ขนาดนอนยังสวยเลย...................”

“ ผู้ร้ายหรือตัวโกง” ต้อง ดุขึงขัง ขี้โกงพูดจาจาบจ้วงดุดัน
เป็นนักวางแผน เห็นแก่เงิน อาจเป็นชู้กับใครบางคน หมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้น มีบริวารมากมายห้อมล้อม
(ตอนจบตายคนเดียว)
สบายกายสุขใจในต้นเรื่อง ถูกจับได้ฆ่าตัวตาย เป็นบ้าตอนจบ ยิงปืนไม่แม่น
ตายยาก มีหน้าตาเป็นอาวุธ แต่ปัจจุบันมักมีหน้าตาหล่อแต่ร้าย
บางเรื่องหล่อกว่าพระเอกและตายด้วยน้ำมือพระเอก หรือนางเอกเสมอ
“ นางร้าย” ต้อง สวย
แสบ ซ่า กรี๊ดตลอดเวลา งี่เง่า ไม่ฟังใคร
มีแม่หรือพี่สาวเป็นผู้ชี้นำ วางแผนทำร้ายนางเอก รักพระเอกอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่เสียตัวให้กับผู้ร้าย
หากตอนจบไม่ตายก็กลับตัวเป็นคนดี หรือสิ้นสติเป็นคนบ้า
ชอบคบเพื่อนที่คอยสนับสนุนตัวเอง มีนักเลงเป็นบริวาร ชอบสร้างรอยร้าว ทำเศร้าอ่อยพระเอก
สวมหน้ากากเก่งมาก
และมีความสุขกับการได้ทำร้ายนางเอกและส่วนใหญ่.............ไม่สำเร็จ
“
พระรองหรือนางรอง” ต้องคอยเป็นเพื่อนนางเอก หรือพระเอกเสมอ
เป็นสื่อกลางให้ความช่วยเหลือ แอบรักเป็นสำคัญ ฝันให้นางเอกและพระเอกมีความสุข
ยอมทุกข์เพียงลำพัง รู้ทันผู้ร้าย แก้ไขปัญหาช่วยเหลือเพื่อนได้เสมอ
และมักถูกขอร้องให้ช่วยอยู่เสมอ ดูดีน้อยกว่านิดหน่อยแต่บางครั้ง ดูดีกว่าด้วยซ้ำ
แต่ไม่มีสิทธิ์เพราะเป็น....ตัวสำรอง.....เสมอ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ของตัวละครสำคัญของละครไทยซึ่งเราทุกคนก็คงเห็นเช่นเดียวกัน
เราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ดูละครย้อนดูตัว” คงไม่เชยเกินไปที่จะพูดคำนี้
เพราะหากเราลองวิเคราะห์ไตร่ตรอง ทบทวนดูแล้ว เราคงได้รับแง่คิดต่างๆมากมาย
จากการดูละครสักเรื่อง การดูเพียงเพื่อความสุข สนุกสนานเป็นส่วนหนึ่ง
แต่มากไปกว่านั้นหากเราเข้าใจเหตุผล ของสิ่งเหล่านั้น ด้วยความจริงที่ว่า “ชีวิตจริงอาจเป็นบางสิ่งที่มากกว่าละคร”
เพราะเราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าละครก็อาจเกิดขึ้นได้กับชีวิตจริงของเราทุกคน

หลายคนค้นพบทางหนทางการดำเนินชีวิต หลายคนค้นพบแง่คิดดีๆ
กับการดูละครสักเรื่อง และคงปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือ เรื่องจริง หลายสิ่งหลายอย่างมีเหตุผลของตัวมันเอง
เพียงแต่ต้องการ....... ประสบการณ์ และเวลาในการทำความเข้าใจ
แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ (ลองดู) มองหาสิ่งที่สนใจสักเรื่อง เริ่มต้น
แล้วเราจะได้อะไรตั้งมากมายกับการทำความเข้าใจ แม้แต่การดูละครหลังข่าว ที่บางคนมองว่าเป็นเรื่อง
ไร้สาระ....
เลยลม...
ขอขอบพระคุณมากครับ สำหรับภาพละครที่ได้นำมาประกอบบทความนี้
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
“ มีความโชคดี...อยู่เสมอ ”

‘โชค’
มักนำพาความสุขมาให้เราในทุกขณะของการดำเนินชีวิต โชคดีหรือ ร้าย
ขึ้นอยู่กับการให้นิยามความหมายหรือ มุมมองทางความคิด แต่เชื่อว่าโชคดี มีอยู่เสมอ
เราจะเห็นเป็นจริงเมื่อ เราลองย้อนกลับไปคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
เพียงแต่เราต้อง
คิดต่างออกไป มองโลกในแง่บวกให้มากขึ้น
เรา‘โชคดี’ ที่ตื่นมาแล้วยังมีชีวิตอยู่
เรา‘โชคดี’ ที่ตื่นมาแล้วยังมีเสื้อผ้าให้สวมใส่
เรา‘โชคดี’ ที่มีอาหารเช้าให้กินก่อนออกไปเรียนหรือทำงาน
เรา‘โชคดี’ ที่มีสถานที่
ที่มีผู้คนอยู่เป็นเพื่อนเราแม้ไม่เคยคุยกัน
เรา‘โชคดี’ ที่มีร้านอาหารให้กินตอนพักเที่ยง
เรา‘โชคดี’ ที่มีปัญหา
แล้วมีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ
เรา‘โชคดี’ ที่มีคนมีน้ำใจ
แบ่งปันสิ่งต่างๆให้เรา
เรา‘โชคดี’ ที่มีที่ทำงานให้กลับออกไป
เรา‘โชคดี’ ที่มีคนกำลังรอให้เรากลับไปกินข้าวเย็นด้วยกัน
เรา‘โชคดี’ ที่มีบ้านให้กลับไปพักผ่อนอย่างอบอุ่น
เรา‘โชคดี’ ที่มีเตียงให้ซุกหัวนอน
เรา‘โชคดี’ ที่มีหมอนให้เราหนุนเมื่อยามหลับใหล

ในชีวิต
หากเรากำลังโทษโชคชะตาที่ทำให้ ‘โชคร้าย’ และกำลังฟูมฟายกับชีวิต ขอให้ลองคิดใหม่ แล้วจะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติของมันไม่ต้องสรรหา
หรือปรุงแต่งอะไร ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดบวก เข้าใจและเห็นคุณค่าของตัวเอง
จากนั้นความ‘โชคดี’
จะเริ่มเข้ามา...เริ่มต้นด้วยความ‘โชคดี’ ที่เรามีสติ…และคิดได้ แล้วเราจะ‘โชคดี’ ที่ชีวิตเราเริ่มดีขึ้น... (ลองดูซิ)

แค่เปลี่ยนมุมมองเล็กน้อย
ไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ เพื่อบำบัดจิตให้ดีขึ้น ไม่มีค่าใช้จ่าย ทำได้ด้วยตัวเราเอง
และจงอย่ารอให้ใครมาบอกหรือขอคำปรึกษา เพราะถ้าเราไม่คิดจะเริ่มต้นด้วยตัวเอง
จะมีประโยชน์อะไรที่จะให้คนอื่นมาช่วย.......
ทุกคนมีความสุขได้ด้วยตัวเอง เรามี ‘โชคดี’ กันทุกคน จงอย่าสับสนกับความคิดและความรู้สึก
พยายามจดจำและไขว่คว้าเรื่องราวดีๆ...จะดีกว่าไหม ทำไมต้องทำร้ายตัวเองด้วยความคิด
ชีวิตเป็นของเรา จะรอให้ใครมาช่วย จะยากอะไรกับความคิด นานซักนิดก็ไม่เป็นไรหากเราเข้าใจ...เชื่อว่าเราทุกคนทำได้
(สู้ สู้!!)
ความ‘โชคดี’ เป็นเรื่องง่าย
เพียงเราเปลี่ยนมุมมอง มองในด้านที่ดีของชีวิต คิดแต่เรื่องที่มีความสุข
สนุกกับประสบการณ์ใหม่ที่ผ่านเข้ามา
หากเราทุกคน
พยายามค้นหาความสุขที่แท้จริงแล้ว เชื่อว่าการเปลี่ยนมุมมอง
ไปสู่ความคิดที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะในแต่ละวันมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย
หากเราไม่มีวิธีจัดการหรือแก้ไขมัน ก็คงทำให้ชีวิตเรายุ่งยากมากเลยทีเดียว
แต่เราก็‘โชคดี’ ที่มีเรื่องเข้ามา...ให้เราได้คิด
ดีกว่าอยู่เฉยๆ...
‘โชคดี’ ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
ลองมองดีๆ เราจึงไม่ควรละเลยมัน ใช้มันให้ประโยชน์ แต่อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งดีร้าย...อย่าหลงและจมอยู่กับความคิด
ชีวิตเราทุกคนมีทั้ง ‘โชคดี’ และ ‘โชคร้าย’ หลายร้อยเท่า
ในบางครั้งเราโชคร้ายบ้าง...
ก็ไม่เป็นไร เพราะมันจะทำให้เราซึมซับความ ‘โชคดี’ ได้อย่างชื่นฉ่ำหัวใจ
ขอให้เราเดินทางชีวิตควบคู่ไปกับมัน มันจะคอยให้กำลังใจเราเสมอ
และมันยังคอยเตือนสติให้เรา...เพราะ....
มี...ความ ‘โชคดี’...อยู่เสมอ
เลยลม...^__^
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
นาฬิกา...ความรัก
ณ วินาทีที่นาฬิกาบอกเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างต่างเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ
ราวกับว่าการเคลื่อนไหวของเวลาคือการเดินทางที่ไม่หยุดนิ่ง
หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เวลา” คือสิ่งสำคัญที่ยึดโยงเราไว้กับทุกสิ่ง
เคยเกิดคำถามในใจหรือไม่ว่า “เวลา” คืออะไร หากพยายามค้นหา อาจได้คำตอบมากมาย
จากหลายแง่คิดทั้งในรูปแบบของความรู้สึก จินตนาการ และวิทยาศาสตร์
การเดินทางของเวลาในแต่ละชั่วโมง วัน เดือน และปีมีความยาวของช่วงเวลาต่างกัน
แต่เกิดการเปลี่ยนแปลง เติบโต และสร้างการเรียนรู้มากมาย
การเดินทางของเวลานำพาผู้คนไปพบกับสิ่งต่างๆในช่วงเวลาของชีวิต
ซึ่งเราคาดเดาไม่ได้ว่าแต่ละคนมีเวลาของช่วงชีวิตเป็นอย่างไร
รู้เพียงแต่ว่ามีจุดเริ่มต้นและจุดจบที่ไม่ต่างกันนัก
เวลายังคงเดินทาง
เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตของผู้คน
และนำพาไปค้นหาความหมายของชีวิต ทั้งความสุข ความทุกข์ ความหวัง ความฝัน
และสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจปฏิเสธถึงความปรารถนาภายใต้จิตใจอันเปราะบางของทุกคน
สิ่งนั้นก็คือ “ ความรัก ” ความรู้สึกอันสวยงามที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ยากที่จะอธิบาย
“ ความรัก ” เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้โลกเบี้ยวๆใบนี้ยังคงน่าอยู่
ผู้คนต่างพยายามค้นหา “ความรัก” เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีความหมาย
สร้างแรงศรัทธาและเกิดกำลังใจ
ภายใต้ความเชื่อนั้นหลายคนจึงพยายามสร้างสรรค์ความหมายของความรักออกมามากมาย
ซึ่งความหมายเหล่านั้นมักเกี่ยวเนื่องอยู่กับช่วงเวลา เพราะผู้คนในแต่ละวัย
แต่ละช่วงเวลาของชีวิตมีความเข้าใจเรื่องความรักที่ต่างกัน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน คือเมื่อใดที่ความรักสมหวังจะเกิดความสุขอย่างเปี่ยมล้น
ในทางตรงกันข้ามหากผิดหวังก็จะสร้างความทุกข์อย่างมากมายมหาศาลฝังแน่นอยู่ภายในใจ
มนุษย์ต้องการความรักมาเติมเต็มให้ชีวิตสมบูรณ์
ไม่ว่าชีวิตจะขาดแคลนสิ่งอื่นๆอยู่มากมาย แต่หากมีความรักก็จะรู้สึกเหมือนชีวิตมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ความรักสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆได้มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้พลังของความรักอย่างเหมาะสมหรือไม่
แน่นอนว่าเมื่อมีความรักเรามักจะมองข้ามทุกสิ่ง มองข้ามความรวยหรือจน
มองข้ามความสุขเพียงลำพัง หรือแม้กระทั่งมองข้ามความถูกต้องที่บัญญัติโดยสังคม
ความรักที่ก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์จึงอาจกลายเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงยิ่งได้
หากพยายามค้นหามุมมองเกี่ยวกับความรัก
เราอาจได้แง่คิดและข้อเปรียบเทียบมากมาย และมีสิ่งหนึ่งที่เราจะค้นพบคือ
ความรักเป็นดั่งนาฬิกา มีช่วงเวลาของการเดินทางอย่างไม่หยุดนิ่งไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว
บางคนเดินทางชีวิตด้วยการเริ่มต้นช้าๆ เหมือนเข็มสั้นของนาฬิกาที่บอกเวลาเป็นชั่วโมง
คนเหล่านี้ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย สงบนิ่ง เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ไปตามกระแสทางสังคม เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎระเบียบนี้ได้
แต่ยังคงยึดถือความเป็นตัวตน ไม่ปล่อยตนเองให้ถูกครอบงำ
ความรักของผู้คนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ยากที่จะรัก ใช้เวลานานในการศึกษาและมีความรัก
แต่หากรักแล้ว ความรักนั้นจะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์
ยาวนานฝังรากลึกลงภายในจิตใจที่เข้มแข็งแต่อ่อนโยน
เข็มยาวของนาฬิกาที่บอกเวลาเป็นนาที
เปรียบได้กับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของสังคม เปลี่ยนแปลง
เคลื่อนไหวไปตามกระแส มีวิถีปฏิบัติที่น่าสนใจ
ชื่นชอบการทดลองค้นหาความรักของตนเองในหลายวิธี ไม่ยึดติดกับรูปแบบ
ใช้ความรักเป็นความท้าทายที่ทำให้ชีวิตมีความสนุกสนานไม่จำเจ โอนอ่อน
รับมือได้กับทุกสถานการณ์ เดินทางสายกลางไม่มากหรือน้อยไป
มีความรักเป็นความสวยงามของชีวิต เริ่มต้นมีความรักด้วยช่วงเวลาพอประมาณ
แต่รักษามันด้วยใจอันบริสุทธิ์ อาจมีการเปลี่ยนแปลง
แต่ท้ายที่สุดเมื่อค้นพบความหมายของความรักที่สมดั่งใจปรารถนาแล้ว ความรักจะเป็นดั่งสายน้ำชุ่มเย็นไหลผ่านความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
และดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ
แต่ในปัจจุบันกระแสสังคมในช่วงเวลาแห่งความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เสมือนครอบงำให้เวลาเดินทางเร็วขึ้น ดั่งเช่นเข็มนาฬิกาบอกเวลาเป็นวินาทีที่เดินผ่านช่วงเวลาต่างๆ
เพียงชั่วพริบตา เรียนรู้ ก้าวข้ามสภาวะต่างๆ ด้วยความเข้าใจ
ผู้คนเหล่านี้มักวางแผนการดำเนินชีวิตไปสู่อนาคต
พยายามสร้างสรรค์ความเป็นปัจจุบันให้ส่งผลสวยงามในอนาคต ไม่ยึดติดกับอดีตที่ผ่านมา
เร่งรีบและตื่นเต้นที่จะพบกับสิ่งใหม่ที่กำลังเดินทางไปหามัน ไม่รอคอยความรัก
มักตามหาความรักจากผู้คนรอบข้าง ใจกว้างที่จะมอบความรักให้กับผู้คน
มีวิธีการสร้างความสุขจากความรักได้ไม่ยาก ความรักจึงเป็นดั่งจิกซอว์ตัวสุดท้ายที่เติมเต็มภาพช่วงเวลาของชีวิตให้สวยงาม
ตามกาลเวลาอันเหมาะสม
ผู้คนมากมายต่างเริ่มต้นชีวิตแตกต่างกัน
อาจเร็วหรือช้าแล้วแต่ธรรมชาติของแต่ละคน
แต่สุดท้ายแล้วการเดินทางตามหาความรักจะพบเจอกับช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เข็มนาฬิกาบรรจบตรงกัน
เมื่อนั้นความรักอาจเริ่มต้น หรือในบางครั้งการบรรจบของเข็มนาฬิกาที่ไม่เหมาะสม
ความรักก็อาจเป็นดั่งเข็มวินาทีที่ผ่านมาและเดินทางไปอย่างรวดเร็ว
คงไม่สามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาใดเหมาะสมสำหรับการมีความรัก
เพราะเข็มนาฬิกาต่างมีช่วงเวลาที่สั้นยาวต่างกัน แต่ถึงอย่างไรหากเรายังคงเชื่อมั่นในความรัก
ศรัทธาที่จะค้นหาและรอคอยมัน เชื่อว่าเมื่อเราค้นพบความรักนั้นแล้ว
ความสุขที่มากล้นจนเกินจะบรรยายจะเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน
เราอาจดำเนินชีวิตตามวิถีเข็มนาฬิกา
เพราะชื่นชมในความสม่ำเสมอของการเดินทางของเวลา นั่นอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญทั้งหมดของชีวิต
การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและใช้ความรักสร้างคุณค่าของชีวิต
อาจเป็นทางลัดไปสู่การมีความรักที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการดำเนินไปตามการเดินทางของช่วงเวลาชีวิต
หากเรามีความรักที่สมบูรณ์
ความรักมักนำพาเราไปสู่การแบ่งปันไม่ว่าความรักนั้นจะมีรูปแบบอย่างไร
แต่ในอีกมุมหนึ่งของความรัก
หากเรารักผู้อื่นมากเสียจนลืมที่จะรักและดูแลตัวเราเอง ก็อาจเกิดปัญหาตามมาจากความรักนั้นได้
หากเราลองทบทวนค้นหานิยามของความรักจะพบว่า ความรักย่อมเกิดจากหลายปัจจัยที่เหมาะสม
ไม่มากหรือน้อยไป เกิดจากความสม่ำเสมอและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์
ความรักนั้นจึงจะสวยงามและทำให้ชีวิตสมบูรณ์ แต่ความรักไม่ใช่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตมีความสุข
ชีวิตเรายังคงต้องการส่วนประกอบอื่นๆ
มากบ้างน้อยบ้างตามช่วงเวลาของชีวิตที่เหมาะสม
ชีวิตเรายังจำเป็นต้องอาศัยการเดินทางของช่วงเวลา
ตราบใดที่เรายังคงปรารถนาที่จะมีความรัก
การค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะหากเราปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไม่ยอมเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น
มันอาจจะนำพาเราไปสู่ความทุกข์
แต่ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึงเราควรสร้างความสุขจากช่วงเวลาต่างๆของชีวิต และค่อย ๆ
เรียนรู้ความรักที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต
ขอให้ความรักของเราเป็นดั่งนาฬิกาที่มีส่วนประกอบเรียบง่าย
เราอาจเป็นหนึ่งในเข็มนาฬิกานั้น
เดินทางและเรียนรู้เรื่องราวของความรักจากเข็มนาฬิกาอื่นๆ ที่เดินทางผ่านตัวเราไป
เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเข็มนาฬิกาจะบรรจบตรงกัน
เราอาจได้เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะมีความรักได้
แด่ความรักที่ผ่านพ้นไปเร็วดั่งเข็มวินาที...
เลยลม...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)